
ตำบลหนองกะท้าว อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เป็นตำบลที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ พิธีกรรม ที่ปรากฏแนวคิดผ่านออกมาเป็นแนวปฏิบัติ พิธีกรรม และงานเทศกาลต่าง ๆ ตำบลหนองกะท้าวมีจำนวน 27 หมู่บ้าน ซึ่งหลายหมู่บ้านเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาตั้งรกราก ทำมาหากินในพื้นที่แห่งนี้ ทั้งกลุ่มคนที่อพยพมาจากอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และเขตติดต่อประเทศลาว อพยพมาตั้งรกรากอยู่ที่บ้านหลังเขา บ้านน้ำตาก บ้านห้วยเซิม บ้านเนินพลวง บ้านบางยางพัฒนา บ้านแก่งหว้า บ้านแก่งไฮ บ้านน้ำดั้น บ้านนาโพธิ์ บ้านนาจาน บ้านบุ่ง บ้านโพธิ์เจริญ บ้านนาหนอง และบ้านเนินกลาง กลุ่มคนเหล่านี้นับถือพระธาตุศรีสองรัก และยังคงมีการเดินทางไปประกอบพิธีกรรมที่พระธาตุศรีสองรักในทุกปี ซึ่งนำแนวปฏิบัติในด้านสังคม พิธีกรรมต่าง ๆ มาใช้ในพื้นที่นี้ด้วย เช่น ประเพณีแห่ต้นผึ้ง แห่นางแมว นอกจากนี้ยังมีคนจากอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดพิจิตร จังหวัดกระบี่ เข้ามาตั้งรกรากทำมาหากินในพื้นที่ด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ตำบลหนองกะท้าวมีความหลากหลายวัฒนธรรม ส่งผลให้ให้ประเพณีของตำบลหนองกะท้าวมีความโดดเด่น โดยเฉพาะประเพณีที่จัดขึ้นในเทศกาลออกพรรษาที่เชื่อมโยงผู้คนทั้ง 27 หมู่บ้านให้มาทำกิจกรรมภายใต้ศรัทธาเดียวกัน
เทศกาลออกพรรษากับการเทศน์มหาชาติในตำบลหนองกะท้าว
เทศกาลออกพรรษา ตามตำนานกล่าวว่าเมื่อก่อนพุทธศักราช 80 ปี พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนา “พระสัตตปรณาภิธรรม” คือพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดพระพุทธมารดา ครั้นครบกำหนดการทรงจำพรรษาครบ 3 เดือนพระพุทธเจ้าทรงปวารณาพระวัสสาแล้วเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาสู่มนุษย์โลก ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 โดยเสด็จลงทางบันไดแก้วทิพย์ ซึ่งตั้งระหว่างกลางของบันไดทองทิพย์อยู่เบื้องขวาบันไดเงินทิพย์อยู่เบื้องซ้ายและหัวบันไดทิพย์ที่เทวดาเนรมิตขึ้นทั้ง ๓ พาด บนยอดเขาพระสิเนรุราช วันออกพรรษาเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา เนื่องจากช่วงเข้าพรรษา พระภิกษุต้องศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด วันออกพรรษาจึงเป็นวันครบกำหนดที่พระภิกษุจึงสามารถออกจากวัดเพื่อจาริกไปยังที่ต่างๆ ได้ รวมถึงการได้ทำพิธีปวารณา คือการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องและพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญใหญ่ เช่น การตักบาตรเทโว ซึ่งเป็นการจำลองเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ จากพุทธประวัติและตำนานดังกล่าวเทศกาลออกพรรษาจึงได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยมี การผสมผสานประเพณีท้องถิ่นเข้าไปด้วย ทำให้เกิดเป็นเทศกาลที่มีเอกลักษณ์ในแต่ละพื้นที่
เทศกาลออกพรรษาเป็นเทศกาลหนึ่งที่สร้างสีสันท่ามกลางความศรัทธาของกลุ่มชนชาวหนองกะท้าว โดยเฉพาะกิจกรรมการแห่กัณฑ์เทศน์ หรือประเพณีเทศน์มหาชาติ จัดขึ้นตรงกับ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของ ทุก ๆ ปี การเทศน์มหาชาติเป็นประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนาที่มักจัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา โดยเป็นการเล่าเรื่องราวพระเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ ชาวตำบลหนองกะท้าวจัดประเพณีนี้ขึ้น 2 ครั้งใน 1 ปี คือ ก่อนวันออกพรรษา 1 วันพระ (ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 11) จัดแห่กัณฑ์เทศน์ที่ วัดหนองสองเฒ่า และวันออกพรรษา (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) แห่กัณฑ์เทศน์ที่วัดหนองกะท้าว

ประเพณีแห่กัณฑ์เทศน์ในวันออกพรรษานับเป็นประเพณีคู่บ้านคู่เมืองของชาวหนองกะท้าว ในการแห่กัณฑ์เทศน์จะแห่ทุกกัณฑ์ รวม 13 กัณฑ์ เริ่มจากกัณฑ์ทศพร หรือชาวบ้านเรียกว่า “กัณฑ์ทศพรก่อนไก่โห่” เนื่องจากเจ้าของกัณฑ์เทศน์จะต้องแห่กัณฑ์เทศน์จากบ้านมาให้ถึงวัดก่อนฟ้าสาง เมื่อพระเทศน์กัณฑ์ทศพรเสร็จจึงมีพิธีตักบาตรเทโว ด้วยข้าวสารอาหารแห้ง แล้วจึงเทศน์กัณฑ์หิมพานต์และกัณฑ์อื่น ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งวันจนกว่าจะครบ 13 กัณฑ์ โดยมีความเชื่อว่าหากใครฟังเทศน์มหาชาติครบทั้ง 13 กัณฑ์ จะมีอานิสงส์มาก และได้เกิดใหม่ในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย การเทศน์มหาชาตินี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา สอนหลักธรรมผ่านเรื่องราวของพระเวสสันดร และสร้างความสามัคคีในชุมชน ถือเป็นโอกาสสำคัญให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญครั้งใหญ่หลังจากออกพรรษา
การจัดกัณฑ์เทศน์ของคนในตำบลหนองกะท้าวใช้วิธีการให้ตัวแทนหมู่บ้านมาจับฉลาก ว่าจะได้เป็นเจ้าภาพของกัณฑ์เทศน์ใด ซึ่งกัณฑ์เทศน์มหาชาติมี 13 กัณฑ์ ดังนี้
1. กัณฑ์ทศพร มี 19 พระคาถา
2. กัณฑ์หิมพานต์ มี 134 พระคาถา
3. กัณฑ์ทานกัณฑ์ มี 209 พระคาถา
4. กัณฑ์วนประเวศน์ มี 57 พระคาถา
5. กัณฑ์ชูชก มี 79 พระคาถา
6. กัณฑ์จุลพน มี 35 พระคาถา
7. กัณฑ์มหาพน มี 80 พระคาถา
8. กัณฑ์กุมาร มี 101 พระคาถา
9. กัณฑ์มัทรี มี 90 พระคาถา
10. กัณฑ์สักกบรรพ มี 43 พระคาถา
11. กัณฑ์มหาราช มี 69 พระคาถา
12. กัณฑ์ฉกษัตริย์ มี 36 พระคาถา
13. กัณฑ์นครกัณฑ์ มี 48 พระคาถา
เมื่อจับฉลากได้กัณฑ์เทศน์ใดเจ้าภาพ ต้องจัดเตรียมเครื่องกัณฑ์เทศน์ ประกอบไปด้วย 1) เครื่องกัณฑ์ ได้แก่ หมอน 1 ใบ ผ้าอาบน้ำฝน 1 ผืน ผ้าขนหนู 1 ผืน หมาก ธูป (ตามจำนวนพระคาถาของแต่ละกัณฑ์) เทียน (ตามจำนวนพระคาถาของแต่ละกัณฑ์) 2) ธงกบิล (ตามจำนวนพระคาถาของแต่ละกัณฑ์) 3) ถังเงินกัณฑ์เทศน์ 4) ผลไม้ ต่าง ๆ เช่น กล้วย ฝักทอง อ้อย ฯลฯ 5) ดอกบัว 6) โพธิ์เงินโพธิ์ทอง 7) ข้าวสาร 8) ต้นระย้า 9) ข้าวแดง ข้าวตอกตัด ข้าวตอกปั่น ข้าวกระยาสารท **สำหรับกัณฑ์ชูชก ต้องเตรียมเพิ่มเติม คือ กระบุงเงิน กระบุงทอง จะใส่ผลไม้ และไม้ผ้าป่า
กัณฑ์ชูชก สีสันแห่งศรัทธา
กัณฑ์ชูชก เป็นกัณฑ์ที่ 5 เล่าถึงประวัติของชูชก พราหมณ์ชราขอทาน มีนิสียขี้เหนียวและโลภมาก ชูชกมีภรรยาสาวชื่อนางอมิตดา ต่อมาเมื่อนางอมิตดาถูกหญิงอื่นในหมู่บ้านรังแก ชูชกจึงเดินทางไปขอสองกุมาร คือ กัณหา ชาลี จากพระเวสสันดรเพื่อมาเป็นทาสรับใช้ภรรยา การเดินทางของชูชกนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการทดสอบทานบารมีครั้งยิ่งใหญ่ของพระเวสสันดร กัณฑ์ชูชกจึงไม่เพียงแต่แนะนำตัวละครสำคัญ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความโลภและความเห็นแก่ตัวซึ่งตรงข้ามกับคุณธรรมของพระเวสสันดร ทำให้ผู้ฟังเทศน์ได้เห็นความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่ว อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงสังคมและค่านิยมในสมัยนั้น เช่น ระบบทาส และความเหลื่อมล้ำทางสังคม การเทศน์กัณฑ์ชูชกจึงไม่เพียงให้ความบันเทิง แต่ยังสอดแทรกคติธรรมและภาพสะท้อนสังคมที่ทำให้ผู้ฟังได้ตระหนักและพิจารณาถึงการกระทำของตนเองอีกด้วย
กัณฑ์ชูชกถือเป็นกัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของตำบลหนองกะท้าว และเป็นกัณฑ์ที่สร้างสีสันให้กับงานเทศน์มหาชาติ เนื่องจากเป็นกัณฑ์ที่มีความสนุกสนานมากกว่ากัณฑ์อื่น เพราะจะมีตัว “ชูชก” 3 ประเภท คือ ชูชกขาว ชูชกเหลือง และชูชกปลอม เป็นตัวละครสำคัญในการสร้างสีสันของขบวนแห่กัณฑ์เทศน์ สัญลักษณ์ของชูชกแต่ละประเภทสื่อความหมายดังนี้ “ชูชกขาว” ซึ่งเป็นชูชกดี แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายสีขาวแบบพราหมณ์ จูงมือกัณหา ชาลี เข้าวัดฟังธรรม พร้อมด้วยขบวนเหล่านางฟ้าที่ช่วยกันหาบกระบุงเงิน กระบุงทอง ใส่ไม้ผ้าป่า “ชูชกเหลือง” บางคนเรียกว่าชูชกผี เป็นชูชกร้ายแต่งกายด้วยเศษผ้าจีวรพระ สวมหัวหน้ากากคล้ายผี ผมยาวรุงรัง ในมือถือปลัดขิกวิ่งไล่ทิ่มแทงชาวบ้าน เป็นการสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับผู้ที่มาร่วมงาน ส่วน “ชูชกปลอม” คือ คนนุ่งขาวห่มขาวมาไล่ขอเงินเรี่ยไรจากชาวบ้าน


โยงใยภูมิปัญญา คติธรรม วิถีชีวิตและศรัทธา
ตัวละครชูชกในประเพณีเทศน์มหาชาติของตำบลหนองกะท้าว สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาอันลึกซึ้งใน การผสมผสานคติธรรมทางพุทธศาสนาเข้ากับวิถีชีวิตและความเชื่อของท้องถิ่น การแบ่งชูชกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ชูชกขาว ชูชกเหลือง และชูชกปลอม ไม่เพียงแต่สร้างสีสันให้กับงานเทศน์เท่านั้น แต่ยังเป็นการนำเสนอมุมมองที่หลากหลายต่อธรรมชาติของมนุษย์ผ่านตัวละครเดียวกัน กล่าวคือ ชูชกขาว เป็นตัวแทนของด้านบวก แสดงให้เห็นว่าแม้แต่บุคคลที่เคยถูกมองว่าเป็นตัวร้ายก็สามารถกลับตัวกลับใจได้ การที่ชูชกขาวจูงมือกัณหาและชาลีเข้าวัดฟังธรรม สื่อสัญญะของการนำพาผู้อื่นสู่หนทางแห่งธรรม ในขณะที่ชูชกเหลืองหรือชูชกผี สะท้อนด้านมืดของมนุษย์ การแต่งกายด้วยเศษผ้าจีวรและการถือปลัดขิก แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างความเชื่อพื้นบ้านกับพุทธศาสนา อีกทั้งยังเตือนใจให้ระวังการหลงมัวเมาในกามารมณ์ ส่วนชูชกปลอมนั้น
เป็นการสะท้อนปัญหาสังคการนำเสนอชูชกทั้งสามรูปแบบในขบวนแห่ แสดงให้เห็นถึงกลวิธีอันชาญฉลาดในการผสมผสานปริศนาธรรม เข้ากับความบันเทิง เป็นการดึงดูดความสนใจของผู้คนเข้าสู่พิธีกรรมทางศาสนา โดยใช้รูปแบบที่เข้าถึงง่ายและสร้างความประทับใจ การที่กัณฑ์ชูชกเป็นกัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของตำบล ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของตัวละครนี้ในการสื่อสารธรรมะและสะท้อนสภาพสังคม แสดงให้เห็นถึงความสามารถของชุมชนในการปรับใช้พุทธศาสนาให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น การใช้สัญลักษณ์เพื่อสื่อสารหลักธรรมอันลึกซึ้ง และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสืบทอดประเพณีทางศาสนา นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ที่มีทั้งด้านดีและด้านร้าย ตลอดจนการเตือนสติให้ระมัดระวังการหลงผิดในรูปแบบต่างๆ ประเพณีนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสอนธรรมะและสะท้อนสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพมที่มีผู้ฉวยโอกาสจากความศรัทธาของประชาชน



เส้นทางแห่งศรัทธา : กุศโลบายเชื่อมความสามัคคี
ประเพณีเทศน์มหาชาติในตำบลหนองกะท้าวเป็นการใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความสามัคคีของชุมชน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการหลอมรวมผู้คนในท้องถิ่นให้เป็นหนึ่งเดียวกัน การจัดงานปีละสองครั้งในวัดสำคัญของตำบลสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านในการสืบทอดประเพณีอันทรงคุณค่า วิธีการให้ตัวแทนหมู่บ้านมาจับฉลากเพื่อเป็นเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์แต่ละกัณฑ์นั้น นับเป็นภูมิปัญญาในการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งช่วยลดความขัดแย้งและส่งเสริมความสามัคคีในชุมชนได้อย่างแยบยล นอกจากนี้งานประเพณียังเป็นพื้นที่ทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้มาพบปะ สังสรรค์ และทำกิจกรรมร่วมกัน อันเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีระหว่างกัน การที่แต่ละหมู่บ้านได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์นั้น ยังช่วยกระจายความรับผิดชอบและสร้างความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น เสริมสร้างอัตลักษณ์ของชุมชน สร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่น และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสามัคคี ความสามัคคีที่เกิดขึ้นจากการจัดงานนี้ไม่เพียงแต่มีผลในช่วงเวลาของงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความเข้มแข็งของชุมชนในระยะยาว จึงกล่าวได้ว่าเทศกาลการออกพรรษา กิจกรรมพิธีกรรมแสดงให้เห็นถึงบทบาทหน้าที่ของประเพณีในฐานะเครื่องช่วยสร้างความสามัคคีของผู้คนในชุมชน


บรรณานุกรม
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2555). เทศน์มหาชาติ. เข้าถึงได้จาก http://ich.culture.go.th/heritage/detail/6291e5b7978f238e61f77d8f
ขวัญชนก นัยจรัญ และกฤษณา ชาญณรงค์. 2561. มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมตำบลหนองกะท้าว. พิษณุโลก: โฟกัส พริ้นติ้ง.
สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ( มปป.) วันออกพรรษา. เข้าถึงได้จาก https://www.onab.go.th/th/content/category/detail/id/73/iid/3404