ศิลปินเมืองพิษณุโลก : ปัญฑรีย์  บัวด้วง (สีไพร  ไทยแท้)

สีไพร ไทยแท้  นักร้องเพลงแหล่ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย เริ่มต้นอาชีพนักร้อง ในปี 2538 ภายใต้สังกัดค่ายโฟร์เอส ผลงานเพลงแหล่ที่ได้รับความนิยม เช่น มัทรี ,รจนา ,สีกาสั่งนาค และร่วมงานกับนักร้องที่มีชื่อเสียง เช่น ทศพล หิมพานต์และไวพจน์ เพชรสุวรรณ

          สีไพร ไทยแท้ หรือชื่อเดิม บุญชู บัวด้วง ปัจจุบันชื่อ ปัญฑรีย์ บัวด้วง เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2506 ที่อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก เธอเติบโตในครอบครัวชาวนา มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 3 คน โดยเธอเป็นบุตรคนที่ 3 ของนายชื่นและนางทองคำ บัวด้วง สีไพรจบการศึกษาชั้นประถมศึกษา   ปีที่ 4 จากโรงเรียนบ้านเนินมะครึด ในสมัยนั้นการศึกษาระดับสูงกว่านี้ต้องเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนในตัวอำเภอ ซึ่งอยู่ห่างไกลและเดินทางลำบาก ทำให้เธอไม่ได้เรียนต่อ และต้องช่วยพ่อแม่ทำนาตั้งแต่วัยเด็ก

          แม้จะใช้ชีวิตเรียบง่ายในชนบท แต่สีไพรมีใจรักในการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เธอฝึกร้องเพลงจากวิทยุ จนกระทั่งอายุ 13 ปี ได้มีโอกาสเข้าร่วมประกวดร้องเพลงที่เวทีโคกมะตูม ซึ่งในยุคนั้นมีการประกวดที่จัดโดยอามนู มนต์เทวัญ ในวันอาทิตย์ และแอ๊ด เทวดา ในวันเสาร์ เธอสามารถชนะในรอบเดือน และได้รับรางวัลเป็นวิทยุทรานซิสเตอร์ถึงสองเครื่อง พร้อมผงซักฟอกจำนวนมาก ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งในวัยเด็ก

อย่างไรก็ตาม ในรอบปีของการประกวด แอ๊ดเทวดาได้ประกาศตามตัวเธอเป็นเวลาสี่สัปดาห์ให้มารายงานตัว แต่เนื่องจากเป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าว การเดินทางลำบาก และไม่มีเสื้อผ้าสวยงามจะใส่ขึ้นเวที สีไพรจึงตัดสินใจสละสิทธิ์ แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้เธอมีใจรักในเสียงเพลงยิ่งขึ้น

          ชีวิตของเธอพลิกผันเมื่อเดินทางเข้ามาในเมืองเพื่อหางานทำ โดยเธอเริ่มจากการเป็นลูกจ้างเปิดขวดที่แพสองแคว ได้รับเงินเดือนเพียง 400 บาทต่อเดือน แต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าครองชีพสูง ทำให้เธอต้องลาออกและหันไปขายผักที่หลังเวทีโคกมะตูม วันหนึ่ง เธอได้พบกับทีมงานของ “แอ๊ดเทวดา” ซึ่งจำเธอได้ และแนะนำให้เธอไปร้องเพลงที่ห้องอาหาร “พีพี คอฟฟี่ช็อป” แม้ว่าตอนแรกเธอตั้งใจให้เพียงน้องสาวสมัคร แต่ด้วยความสามารถที่โดดเด่น เจ้าของร้านจึงขอให้เธอลองร้องเพลง และผลปรากฏว่าเธอได้รับเลือกให้เป็นนักร้องของร้าน แต่แล้วร้านก็ปิดกิจการอย่างกะทันหัน ทำให้เธอและน้องสาวต้องตกงานอีกครั้ง เธอจึงกลับไปช่วยน้องเขยส่งผัก จนกระทั่งเพื่อนนักร้องชื่อ “ชัย” มาชักชวนให้เธอไปทำงานที่ร้านอาหารในลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ที่นั่นทำให้เธอมีรายได้ถึงวันละ 200-300 บาท และสามารถเก็บเงินส่งกลับบ้าน เพื่อต่อไฟฟ้าเข้าบ้านให้พ่อแม่ได้สำเร็จ

          ต่อมา สีไพรได้เดินทางไปทำงานที่อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว (ในสมัยนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดปราจีนบุรี) เธอเริ่มจากร้านอาหารไทยพาเลท ได้เงินเดือน 5,000 บาท ก่อนจะถูกชักชวนไปร้องเพลงที่ “สบายไนท์คลับ” ด้วยค่าตัวที่สูงขึ้นถึง 8,000 บาท โดยเธอต้องทำงานสองที่ในแต่ละคืน หลังจากนั้น เธอย้ายไปทำงานที่จังหวัดจันทบุรี แต่ถูกเพื่อนร่วมงานดูถูกเนื่องจากแต่งตัวธรรมดา ไม่มีเครื่องประดับหรูหรา เมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศไม่เหมาะสม เธอจึงกลับไปทำงานที่ “สบายไนท์คลับ” ตามเดิม และเริ่มได้รับความสนใจจากแมวมองในวงการเพลง คือหนังสือพิมพ์อาชญากรรม ซึ่งมีผู้สนใจจะชักชวนเธอเข้าวงการเพลง แต่ด้วยความที่เธอเป็นเพียงหญิงสาวจากต่างจังหวัด และกังวลเรื่องการถูกหลอก เธอจึงยังไม่กล้าตัดสินใจ

          ช่วงหนึ่ง น้องสาวของสีไพรที่ร้องเพลงอยู่ที่สวรรคโลกได้ชวนให้เธอไปทำงานด้วยกัน เพื่อจะได้กลับมาอยู่ใกล้บ้าน หลังจากเริ่มเบื่อชีวิตในปราจีนบุรี สีไพรจึงตัดสินใจย้ายไปสุโขทัย และได้ร้องเพลงอยู่ที่นั่นสักพัก แต่ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยและบรรยากาศเงียบเหงา เธอจึงย้ายไปจังหวัดกาญจนบุรีได้ทำงานที่ไนต์คลับซึ่งเป็นสไตล์ที่เธอชื่นชอบ ได้เงินเดือน 7,500 บาท ต่อมา เจ้าของแพริมแม่น้ำมาติดต่อให้เธอไปร้องเพลงเพิ่มช่วงหัวค่ำก่อนเข้าบาร์ จึงได้เงินเดือนเพิ่มอีก 3,000 บาทจากการร้องเพียง 2 ชั่วโมง นี่เป็นช่วงที่เธอมีความสุขมาก สามารถเก็บเงินส่งให้ครอบครัว และยังมีโอกาสซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศกับน้องสาว จนเงินหมดจึงต้องกลับมาทำงานใหม่

          หลังจากนั้น เธอได้ย้ายมาช่วยน้องสาวที่เปิดร้านอาหารในจังหวัดสุโขทัย ได้เงินเดือน 4,000 บาท โดยมีหน้าที่ร้องเพลงและบริหารงานหน้าร้าน ร้านของน้องสาวได้รับความนิยม มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และยังเชิญศิลปินดังอย่าง พี่หน่อย เนาวรัตน์ เจ้าของเพลง “เมรีขี้เมา” มาร้องเพลง ทำให้สามารถขายโต๊ะได้ถึง 60 โต๊ะในคืนเดียว ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและคนมีฐานะ เธอมีโอกาสได้ร้องเพลงแหล่วังแม่ลูกอ่อนในเวอร์ชันของ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ ให้กับผู้จัดการของหน่อย เนาวรัตน์ ได้ฟังด้วย และได้รับมอบพวงมาลัยเงินสดถึง 5,000 บาท ซึ่งรู้สึกตื่นเต้นมาก

          เรื่องราวของเธอถูกเล่าต่อไปถึง บริษัทโฟร์เอส จนทำให้นายห้างของค่ายเพลงสนใจ และเดินทางมาดูเธอร้องเพลงด้วยตัวเองในวันที่ 9 เมษายน 2538 นายห้างได้ฟังเธอร้อง 3 เพลง และดูดวงให้ บอกว่าเธอมีดวงที่จะโด่งดัง จึงชวนเธอเข้ากรุงเทพฯ เพื่ออัดแผ่นเสียง

          วันที่ 17 เมษายน เธอเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และได้ร้องเพลงเปิดตัวที่บ้านของค่ายโฟร์เอส ท่ามกลางศิลปินดังในยุคนั้น หลังจากเธอร้องเพลงจบ เสียงปรบมือดังกึกก้อง เธอจึงกล่าวประโยคที่ตราตรึงใจว่า

“ขอขอบคุณทุกท่านมาก ๆ ต้นอ้อยต้นนี้เหมือนต้นกล้าต้นเล็ก ๆ ที่ท่านจะนำมาปลูก ถ้าทุกท่านช่วยกันรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย ต้นไม้ต้นนี้อาจจะเติบโตได้ แต่ถ้าไม่มีใครช่วยดูแล อาจจะไม่มีโอกาสงอกงาม”

เธอเริ่มอัดเพลงชุดแรก ด้วยความเหนื่อยล้าและกดดัน ต้องร้องถึง 8 เพลง แต่ใช้ได้เพียงเพลงเดียว แต่นายห้างให้กำลังใจว่า “ถ้ายังร้องไม่ได้อีก ให้กลับบ้านไปได้เลย!” ทำให้เธอฮึดสู้ อัดเพลงใหม่ตั้งแต่เช้าจนถึงตี 3 และสามารถบันทึกเสียงได้สำเร็จ

หลังจากอัดเพลงเสร็จ เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายโฟร์เอสทันที โดยไม่ได้อ่านรายละเอียดใด ๆ และได้รับค่าร้องเพลง 30,000 บาท ซึ่งถือเป็นเงินก้อนใหญ่ในตอนนั้น อัลบั้มแรกของเธอขายได้ถึง 40 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม งานแสดงเริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นายห้างลงทุนทำวงให้เธอ โดยใช้เงินถึง 18 ล้านบาท และในอัลบั้มต่อมา เธอได้รับค่าจ้างเพิ่มเป็น 50,000 บาท ต่อการอัดเพลงหนึ่งชุด งานแสดงของเธอทำให้มีรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน และบางเดือนสูงถึง 500,000 บาท

          สีไพร ไทยแท้ เริ่มต้นเส้นทางสายดนตรีด้วยการอัดเพลงครั้งแรกในวัย 32 ปี ทว่าในวัย 35 ปี เธอกลับต้องเผชิญกับอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ส่งผลให้เงินทองที่เคยหามาได้มากมายหมดลง แต่ด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ เมื่ออายุ 36 ปี โชคชะตาของเธอพลิกผันไปในทางที่ดีขึ้นอีกครั้ง เธอรับจ้างร้องเพลงตามงาน และประกอบพิธีทำขวัญนาค จนสามารถกลับมาตั้งหลักได้ใหม่

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีในวงการ เธอได้ฝากผลงานไว้มากมายหลากหลายแขนง ทั้งการร้องเพลง การแสดงลิเกโฟร์เอส การแสดงเทศน์มหาชาติทรงเครื่อง รวมถึงการแสดงภาพยนตร์ เช่น สวรรค์บ้านทุ่ง และ สามเณรสมบูรณ์ ดาวชาดก

          ปัจจุบัน สีไพร ไทยแท้ อาศัยอยู่ที่บ้านเกิด จังหวัดพิษณุโลก และยังคงเดินสายร้องเพลงในงานต่าง ๆ รับหน้าที่เป็นผู้ประกอบพิธีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทำขวัญนาค ทำขวัญกฐิน ทำขวัญข้าว แหล่ประวัติผู้ล่วงลับ รวมถึงการแต่งและร้องบทแหล่เกี่ยวกับประวัติของวัดวาอาราม เกจิอาจารย์ หรือบุคคลสำคัญในสังคม  ด้วยความสามารถและความพยายาม เธอกลายเป็นตัวอย่างของนักสู้ชีวิต ที่แม้จะเผชิญกับอุปสรรคมากมาย แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในวงการเพลงได้สำเร็จ

          สีไพร ไทยแท้ คือตัวอย่างของศิลปินที่ยืนหยัดในเส้นทางสายศิลปวัฒนธรรมไทย ด้วยใจรักและความมุ่งมั่น แม้ต้องพบเจอกับความลำบาก เธอก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์และสืบสานศิลปะแห่งเสียงเพลงต่อไป

ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=Mmo8nwIiNN8&list=OLAK5uy_nDXD_rS0cMyaYA_C_tLpXywYJXyPOwtKw

ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=t5cEkyGgL7o

ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=BY-BQJ3odDE

ผลงานเพลงอัลบั้มเดี่ยว ได้แก่ มัทรี ชุดแก) (2538), นางสิบสอง (2538), รจนา (2538),         ตำนานบวชนาค(2538), กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่(2538),  โมรา(2538), บวชนาคจิ๊กโก๋(2538), ละบาปอายบุญ(2539), สาวเครือฟ้า(2539), สีกษัตริย์เดินดง(2539), รักคนหัวล้าน(2539), เป็นกะตั๊กๆ(2539),                 สามีขี้เมา(2540), แหล่พระคุณพ่อแม่ (2546), เป็นต้น

  • คู่บุญ คู่บวช 2 (ร่วมกับ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ และ ทศพล หิมพานต์) (2549) (โฟร์เอส)
  • คู่ฮา คู่เฮง (ร่วมกับ ทศพล หิมพานต์) (2551) (โฟร์เอส)
  • คู่ฮา คู่เฮง 2 (ร่วมกับ ทศพล หิมพานต์) (2552) (โฟร์เอส)
  • ลำตัดโฟร์เอส (ร่วมกับ ขวัญจิต ศรีประจันต์,ทศพล หิมพานต์ และชาวคณะ) (2552) (โฟร์เอส)
  • คู่บุญ คู่บวช 4 (ร่วมกับ อ๊อด โฟร์เอส และ ทศพล หิมพานต์) (2553) (โฟร์เอส)
  • เทศกาลงานบุญ (ร่วมกับ ทศพล หิมพานต์) (2554) (โฟร์เอส)
  • คู่บุญ คู่บวช 5 (ร่วมกับ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ และ ทศพล หิมพานต์) (2554) (โฟร์เอส)
  • นิทานอิงธรรม (ร่วมกับ ยายกวง ดวงดี) (2555) (โฟร์เอส)
  • คู่บุญ คู่บวช 6 (ร่วมกับ อ๊อด โฟร์เอส,ทศพล หิมพานต์,ยิปซี ศรีสาคร) (2555) (โฟร์เอส)
  • คู่บุญ คู่บวช 7 (ร่วมกับ ทศพล หิมพานต์ และ ยิปซี ศรีสาคร) (2556) (โฟร์เอส)
  • คู่บุญ คู่บวช 9 (ร่วมกับ ทศพล หิมพานต์ และ ยิปซี ศรีสาคร) (2559) (โฟร์เอส)

อ้างอิง

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.(2567).สีไพร ไทยแท้.สืบค้นเมื่อ 1 มีนาคม 2567,จาก https://th.wikipedia.org/wigi/สีไพร_ไทยแท้

บทสัมภาษณ์สีไพร ไทยแท้ วันที่ 1 ก.พ.2568

Loading

Scroll to Top